เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓o ก.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราตั้งใจฟังธรรมะนะ เราฟังธรรมะเพราะเราเป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้ค้นหาแสวงหาสิ่งที่โลกเขาหากันไม่ได้ สิ่งที่ทางโลกเขาหากัน เขาหาโลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ยศถาบรรดาศักดิ์เพื่อความมั่นคงในชีวิตของเขา แล้วไม่มีสิ่งใดมั่นคงเลย มันมีแต่ฟืนมีแต่ไฟเผาตัวในหัวใจ มันจะเอาความมั่นคงมาจากไหน

ถ้าความมั่นคงของเรา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา เราทำบุญกุศลกัน เราแสวงหาบุญกุศลกัน บุญกุศลเพื่ออะไรล่ะ เพื่อให้หัวใจมันไม่เร่าร้อนจนเกินไปนัก ถ้าเร่าร้อนเกินไปนัก คนเราเกิดที่อำนาจวาสนานะ คนที่มีอำนาจวาสนาทำสิ่งใดจะประสบความสำเร็จๆ วาสนานั้นเป็นวาสนา วาสนาถ้าไม่ทำสิ่งใดเลยมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร

ทีนี้วาสนา คนที่มีอำนาจวาสนาเกิดมาประสบความสำเร็จในชีวิตๆ แต่ถ้าเขาไปสะกิดใจสิ่งใด เขาบอกว่าชีวิตนี้มันคืออะไร สิ่งที่เขาประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วมันมีคุณค่าแค่ไหน ชีวิตมีความทุกข์แค่ไหน เขาจะแสวงหาธรรมะของเขา แสวงหาธรรมะ แสวงหาธรรมะก็เหมือนพวกเรานี่ไง ที่เราแสวงหาๆ ธรรมะกัน ที่เรามาวัดมาวากัน เราก็มาแสวงหาคุณธรรมในหัวใจของเราไง ถ้าเรามาแสวงหาคุณธรรมในหัวใจของเรานะ กิริยาของใจๆ มรรคผลเป็นกิริยาทั้งนั้นน่ะ ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นกิริยา เราต้องแสวงหาขึ้นมาไง ความคิดมันเป็นกิริยา มันเผาหัวใจมันก็เป็นกิริยา แต่เราไม่รู้เท่าทันมันไง

แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เรามีสติปัญญา เราฝึกหัดของเรา เราทำความสงบของใจ ทำความสงบของใจจนจิตเห็นอาการของจิต ถ้าจิตเห็นอาการของจิต เราจะเห็นกิริยาของใจ กิริยาของมัน การกระทำของมันไง

คนเรา เขาไม่รู้จักการกระทำของมัน เราจะเท่าทันมันได้อย่างไร เราอยู่บ้าน ลูกมันกลับมาจากโรงเรียนมันก็มาฟ้อง เราเห็นมันฟ้อง ผลที่มันฟ้องเท่านั้นน่ะ แต่ที่มันทำกันที่โรงเรียน ทำอะไรเราไม่เห็นไง

นี่ก็เหมือนกัน เราว่าเราทุกข์ๆๆ เราทุกข์ เราบอกเรามีบุญกุศล เราจะทำคุณงามความดีของเรา มันหลากหลายไง มันหลากหลายนะ ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมๆ อนุปุพพิกถาเท่านั้นน่ะ พูดถึงระดับของทาน ทาน การทำทาน ผลของทาน อนุปุพพิกถาทำทานแล้วเราจะเป็นคนที่มีความน่าเชื่อถือ เราจะเป็นคนที่มีศีล เราไม่พูดปดมดเท็จ เราจะมีสัจจะ เราจะมีคุณค่าในสังคม แล้วถ้าเราทำทานๆ ของเรา ทำทานของเรานะ ผลของมัน ผลของมันคือคุณงามความดี ความดีคือความดีไง ความดีมันมีตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่พื้นๆ ขึ้นไปจนความดีของเรานะ

เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ธรรมะฟากตายๆ คุณงามความดีของพระกรรมฐานเราเวลาถึงที่สุดแห่งทุกข์ เวลาถึงที่สุด เขาสละชีวิตเลยล่ะ สละชีวิต เวลาเราเห็น ดูสิ ดูพระเวสสันดรท่านสละลูก สละเมีย เราก็ว่ามันเกินไปๆ ทั้งนั้นน่ะ เวลาพระโพธิสัตว์แต่ละภพแต่ละชาติท่านสละชีวิตของท่าน สละชีวิตของท่าน ท่านเกิดเป็นสัตว์แล้วท่านสละชีวิตของท่านเพื่อให้เนื้อของท่านเป็นอาหารของพวกพรานหลงป่า นี่ท่านสละชีวิตๆ

การสละชีวิตแบบนั้น สละชีวิตแบบนั้นเป็นผลของทาน เพราะท่านไม่มีสติปัญญาไง แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราเวลาท่านมาประพฤติปฏิบัติของท่านนะ เวลากิเลสมันหลอก กิเลสมันหลอก เดี๋ยวจะเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวจะเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวจะเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวจะตาย นี่ท่านสละชีวิต ธรรมะอยู่ฟากตายๆ

แล้วหลวงตาท่านพูดประจำ เวลาท่านสละตายๆ แล้ว มันสละตาย ตัวเองไม่ตาย แต่กิเลสตาย เวลากิเลสมันจะตาย มันจะมีอะไรตาย มันต้องมีมรรคมีผล มีสติมีปัญญา มีหัวใจขึ้นมา ทำขึ้นมาอย่างนั้น

ฉะนั้น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศนาว่าการเผยแผ่ธรรมๆ อนุปุพพิกถาเท่านั้นน่ะ ให้เขาทำทานของเขา ถ้าเขาไม่ทำทานของเขา เขาไม่มีพื้นฐานในใจของเขา เขาฟังธรรมะไม่รู้เรื่องหรอก การที่เสียสละ เสียสละแล้วเราได้มันเป็นอย่างไร คนฟังไม่ออก แล้วคนไม่เข้าใจ สิ่งที่เราเสียสละ ที่เราได้ มีแต่เรารับถึงจะเราได้ เราเสียสละได้มันเป็นอย่างไรไม่รู้ เราเสียสละแล้วเราได้ แต่คนที่จิตใจเขาสูงส่งเขาเสียสละของเขา เขามีความชุ่มชื่นในหัวใจของเขา เขาเสียสละแล้วเขาภูมิใจของเขา

ดูสิ คนที่มีปัญญาๆ เขาสร้างโรงเรียน เขาสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับสังคม ให้กับโลก เขาทำแล้วเขาภูมิใจของเขา เขามีสติมีปัญญาของเขา เขาทำเพื่อประโยชน์ เขาทำเพื่ออะไรล่ะ เขาทำเพื่อหัวใจนี้ไง ถ้าหัวใจนี้ นี่ยังไม่ภาวนานะ ถ้าภาวนาแล้วมันต้องจิตสงบแล้วจิตเห็นอาการของจิต จึงจะเห็นกิริยาของความคิด จึงจะเห็นความคิดของตน คนที่บอกรู้เท่าความคิดๆ เป็นไปไม่ได้หรอก มันรู้เท่าทันอารมณ์

ที่หลวงตาท่านสอนไว้ไง กิเลสมันอยู่บนหัวใจของเรา มันถ่ายรดบนหัวใจเรานะ แล้วมันไปแล้ว ไอ้กลิ่นเหม็นๆ ขี้ของมัน นั่นน่ะคืออารมณ์ความรู้สึกของเรา นั่นล่ะเขาว่าเป็นทุกข์ๆ เราได้แต่ที่ถ่ายเอาไว้แล้ว คือมันทำงานประสบความสำเร็จ มันทำงานเสร็จแล้ว กิเลสน่ะ แล้วมันก็ไปนอนหลับ แล้วเราก็ได้กลิ่นมันไง ที่ว่าทุกข์ๆ ที่บ่นกันอยู่นี่ มันเป็นอย่างนั้นมันถึงแก้ไม่ได้ไง เพราะเราไม่รู้เหตุ เราไม่รู้ที่มาที่ไป เราจะไปแก้อะไร เรารู้ว่าของหาย แต่ไม่รู้ว่าใครลัก ของหาย แต่ไม่รู้ว่าใครลักไง แต่ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามาจนจิตเห็นอาการจิต เห็นกิริยาของมัน เห็นความรู้สึกนึกคิดของมัน มันจับต้องได้นะ นี่ไง มันจะเห็นตัวมัน นี่ไอ้คนลักๆ

เราของหาย แล้วใครลักก็ไม่รู้ ของหาย นี่ก็เหมือนกัน ทุกข์ๆๆ ทุกข์อยู่นั่นน่ะ ทุกข์อยู่นั่นน่ะ แต่ไม่รู้ว่าเกิดมาจากไหน เกิดอย่างไรไม่รู้ แล้วก็อวดรู้นะ “มันเกิดดับ มันเกิดดับ เดี๋ยวมันอนิจจัง”...อันนี้มันธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้จริงหรอก ถ้าคนรู้จริง คนเห็นจริงมันต้องเห็นจริง นี่ภาคปฏิบัติไง

ปริยัติ การศึกษาเล่าเรียนมาก็ศึกษามาเพื่อสติ เพื่อความรู้ของเรา แต่ภาคปฏิบัติไปแล้วมันจะเห็นคุณค่านะ มันเห็นคุณค่า แล้วพอเห็นคุณค่า เวลาหลวงตาท่านพูด ใครจะทำดีทำชั่ว เรื่องของเขา เราจะทำคุณงามความดีว่ะ เราจะทำคุณงามความดีว่ะ แล้วหลวงตาท่านทำความดีขนาดไหน ดูสิ ครึ่งประเทศก็ติเตียนท่าน “ไม่ใช่กิจของสงฆ์ ไม่ใช่กิจของสงฆ์”

ไม่ใช่กิจของสงฆ์ แต่เอ็งได้ประโยชน์มหาศาลเลย ถ้าไม่ใช่กิจของสงฆ์ๆ นะ แล้วสภาวะเศรษฐกิจล่มสลายไปนะ เอ็งจะทุกข์ยากมากกว่านี้เยอะเลย แต่นี้ท่านมาฟื้นฟูของท่าน ฟื้นฟูของท่าน ฟื้นฟูของท่านจนเครดิตกลับมา จนความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจกลับมา ไอ้ผู้ที่กระทำก็ได้ทำเพื่อประโยชน์ของเขา ได้ทำประโยชน์ของเขา เขาได้ทำบุญกุศลของเขา เขาได้ทำเพื่อประเทศชาตินี้ เพื่อให้คนในชาตินี้ได้อาศัยความร่มเย็นเป็นสุข เขาก็ได้ความภูมิใจมา ความภูมิใจนั้นคือบุญ

ไอ้คนที่คัดค้านๆ มันก็ได้อาศัยเหมือนกัน เพราะอะไร เพราะความมั่นคงของเศรษฐกิจมันก็ได้อาศัยค่าของเงิน มันก็ได้อาศัยของมัน แต่มันบอกว่า “ไม่ใช่กิจของสงฆ์ ไม่ใช่กิจของสงฆ์” มันยังพูดอยู่นะ

ใครจะพูดอย่างไรก็แล้วแต่ ความจริงคือความจริง ถ้าความจริงคือความจริง ครึ่งหนึ่งของประเทศเขาไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี้ไง เขาไม่เข้าใจถึงคนที่ทำคุณงามความดี เขาทำคุณงามความดีเป็นเรื่องของเขา ไอ้คนที่ติเตียนนะ มันก็อาศัยความดีของเขาเพื่อดำรงชีวิตเหมือนกัน มันจะรู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่ แต่มันได้อาศัย มันได้อาศัยสิ่งนั้นเป็นความมั่นคงของชาติ มั่นคงของชาติตระกูลของเขา มั่นคงของการกระทำธุรกิจของเขา มั่นคงแก่เงินในกระเป๋าของเขา เพราะเงินในกระเป๋าเขายังมีค่าไง แต่มันก็ยังติอยู่นะ

แต่คนที่เขาทำของเขา เขาทำคุณงามความดีของเขา เขาเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เขามีครูบาอาจารย์ของเขาเป็นผู้นำ ทั้งๆ ที่ว่าเขาจะไม่มีโอกาสทำอย่างนั้นได้ ถ้าเขาไม่มีครูบาอาจารย์เป็นผู้นำให้โอกาสทำอย่างนั้นได้ ถ้าทำอย่างนั้นได้แล้ว นี่เป็นโอกาสของเขา ถ้าเป็นโอกาสของเขา เขารีบหยิบฉวย เขาทำของเขา แล้วพอท่านนิพพานไปแล้วก็จบ

นี่ก็เหมือนกัน เรามาวัดๆ นี่เป็นโอกาสของเรา ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ เรามีชีวิตอยู่ เรายังมีศรัทธาความเชื่ออยู่ เรายังขวนขวายของเราอยู่ นี่คือโอกาสของเรา แต่ถ้ากิเลสมันปิดบังขึ้นไปแล้ว โอกาสของเราก็ไม่มีนะ เวลาโอกาสของเราไม่มีขึ้นมาแล้ว แล้วก็ยังภูมิใจนะ ของฉันอยู่ครบ เพราะไม่ได้บริจาคให้ใครเลย เออ! ยังภูมิใจอยู่ เพราะอะไร เพราะกิเลสมันขี้บนหัวใจไปแล้ว

แต่นี่เรามาฟังธรรมๆ ที่เราทำมันไม่มีสิ่งใด ในพระพุทธศาสนาไม่มีของฟรี ไม่มีความบังเอิญ มันต้องมีที่มาที่ไปทั้งนั้น แต่ว่ามันมีที่มาที่ไปเพราะอะไร เพราะว่ากรรมเป็นอจินไตย คำว่า “อจินไตย” มันซับซ้อน จนเราไม่บอกว่าแม้แต่มันเป็นภพใดชาติใดไง ทีนี้มันเป็นภพใดชาติใด สิ่งที่มันเกิดมาแล้ว เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนอย่างนั้น ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เราจะสร้างคุณงามความดีของเรา เราจะสร้างคุณงามความดีของเราไง

เราสร้างคุณงามความดีของเรา ทุกคนจะร้องเรียกทันทีเลย ทำดีแล้วไม่ได้ดี

ทำดีก็ต้องเป็นความดีในตัวมันเองอยู่แล้ว ทำดีต้องได้ดี ยังยืนยันตลอด ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่คนเรามันทำมามาก พอทำมามาก มันซับซ้อนมาไง การซับซ้อนมาอย่างนั้นน่ะ ภพชาติใดมันให้ผลล่ะ

ความซับซ้อนนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบุพเพนิวาสานุสติญาณ การเกิด อดีตชาตินับต้นนับปลายไม่ได้ การนับต้นนับปลายไม่ได้มันถึงซับซ้อนขึ้นมา ดูอารมณ์เราสิ เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เวลามันคิดดีๆ ก็ดีมากเลย แต่ไม่มีอะไรส่งเสริมให้มันดีต่อเนื่องขึ้นไปไง แต่เวลามันคิดร้าย โอ้โฮ! มันจำแม่นเลย มันจำแม่นมาก แล้วพอจำแม่นมาก มันก็ให้ผลกับความเจ็บช้ำน้ำใจมาก

ทีนี้ความให้ผลเจ็บช้ำน้ำใจมาก ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาชโลมตรงนี้ไง ถ้ามันชโลมตรงนี้นะ เราไม่มีสติปัญญาสามารถที่จะชนะมัน ไม่มีสติปัญญาสามารถจะรู้เท่ามันนะ แต่ถ้าเรามีศรัทธาความเชื่อในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อตามศาสดาไง แล้วศาสดาทำขนาดนั้นน่ะ คนที่หัวใจของเขาที่ไม่เห็นด้วยว่าทำขนาดนั้นมันจะเกิดประโยชน์ได้อย่างไร เกิดประโยชน์ได้อย่างไร

เวลาเกิดประโยชน์อย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ตอนนั้นท่านยังไม่ได้ตรัสรู้นะ อันนั้นคือบารมีที่ว่ามันคิดใฝ่ดีๆ มาตลอด

ดูสิ เวลาพราหมณ์พยากรณ์แล้ว ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดา ถ้าอยู่ปกครองจะได้เป็นจักรพรรดิ พระเจ้าสุทโธทนะก็พยายามรักษาไว้ๆ แต่ด้วยบุญอันนั้นน่ะ ด้วยบุญอันนั้น ด้วยการกระทำอันนั้นน่ะ ไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันสะเทือนใจมาก แล้วมันก็เป็นคติธรรมของพวกเรา เวลาจะเผาศพให้เวียน ๓ รอบ ๓ รอบ เขาให้เตือนพวกเรานี่แหละ พระพุทธเจ้าไปเที่ยวสวนไปเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ท่านยังหาทางออกเลย ไอ้เราจูงศพข้างหน้าเลยนะ เราไปกันทุกงานเลยนะ มันได้คิดอะไรบ้างหรือไม่ นี่มันเป็นคติธรรมๆ คติธรรมเขาให้ได้คิดไง

คนเรานี่นะ เขาไปเจอสิ่งใดขึ้นมาเขาคิดได้ เหมือนทางโลก ถ้าเขามีสติปัญญาของเขา เขาจะสร้างธุรกิจของเขา เขาจะดูแลรักษาได้ไง ถ้าเราไม่ทันเขา เราไม่ทันเขา เราจะเสียเปรียบเขาตลอดเวลา พระพุทธศาสนาพูดถึงการจะแก้ปัญหา แก้ด้วยปัญญาๆ ทั้งนั้นน่ะ ปัญญาทางโลกก็ต้องแก้ปัญหาด้วยปัญญา

เวลาปฏิบัติธรรม โอ้โฮ! ไม่อย่างนั้นมันจะมีมรรค ๔ ผล ๔ ทำไม โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค มรรคแต่ละชั้น ปัญญามันแตกต่างกันเยอะนะ ปัญญาของขั้นโสดาบัน ปัญญาของขั้นสกิทาคามี ปัญญาของขั้นพระอนาคามี ปัญญาของพระอรหันต์มันแตกต่างกันมหาศาลเลย ไม่อย่างนั้นมันจะมีสติ มหาสติทำไม มีปัญญา มหาปัญญาทำไม มันจะมีปัญญาที่กว้างขวาง ปัญญาที่กว้างใหญ่ มันจะเป็นปัญญาอย่างนั้นได้อย่างไร ทำไมปัญญามันต้องมีมหาปัญญาขึ้นไปอีกล่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ บอกให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเวลามันเกิดปัญญาขึ้นมาแล้ว เวลาใครเกิดปัญญาขึ้นมาจะบอกว่าคนฉลาด โอ้โฮ! ปัญญามหัศจรรย์ๆ นะ...มันจะมีลึกซึ้งกว่านี้อีกเยอะ มันจะมหัศจรรย์ลึกซึ้งกว่านี้อีกเยอะ อีกเยอะเพราะอะไร อีกเยอะเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว จะสอนใครได้อย่างไร จะบอกเขาอย่างไร แต่คนสร้างอำนาจวาสนามาเหมือนกัน ถ้าสร้างอำนาจวาสนาเหมือนกัน เวลาคนทำไปแล้วมันขยับเป็นชั้นๆ ขึ้นไปไง

เริ่มต้นก็ขอมันทำให้ได้ก่อน ทำสมาธิให้ได้ก่อน ถ้าทำสมาธิไม่ได้ ยังไม่เชื่ออะไรเลย แต่ใครทำความสงบของใจได้นะ มันจะเชื่อเลย เชื่อธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหตุผล เหตุผลคือเวลามันทุกข์มันยาก เวลามันฟุ้งซ่าน เรารู้เลย แล้วมันมีอยู่โดยพื้นๆ มันมีอยู่โดยทุกๆ คน แต่เป็นสมาธินี่ทำได้น้อยมาก แล้วสมาธิที่ทำได้นะ มันไม่ใช่สมาธิ โลกที่ทำกันอยู่นี้ ประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี้ไม่ใช่สมาธิ มันเป็นคำว่า “ว่างๆ” นึกว่าว่างไง อาศัยธรรมะ

เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเหตุด้วยผล ด้วยเหตุผล ธรรมะเหนือโลก ธรรมะอันนี้มันเป็นสัจธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ เราไปศึกษาทฤษฎี ขนาดทฤษฎีนะ ทฤษฎีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ มันมีเหตุมีผลเหนือกิเลสแล้ว แต่เพราะใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไปจำมาไง หรือว่าเราไปศึกษามา ไปศึกษาตามทฤษฎีมา

ขนาดทฤษฎีอย่างนั้น เรายังข่มขี่กิเลสเราได้เลย มันก็เลยว่างๆ ว่างๆ แต่ว่างๆ มันไม่ใช่สมบัติของตนไง ไม่ใช่มรรคของตน ไม่ใช่ปัญญาของตนไง ไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้วตรึกในธรรมอันนั้นไง พอตรึกในธรรมอันนั้น “รู้เท่าๆๆ ว่างหมดเลย”...เป็นสมาธิหรือ เพราะมันเป็นอารมณ์ อารมณ์ว่าว่าง แต่ตัวมันไม่ว่าง

ถ้าเป็นสมาธิคือตัวจิตว่าง ถ้าตัวจิตว่างมันต้องกำหนดพุทโธหรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิจนตัวมันว่าง ตัวมันจริงๆ ว่าง

ดูสิ บอกว่าเวลากิเลสมันมาขี้ถ่ายรดไว้แล้วมันก็ไป คืออารมณ์ใช่ไหม คือทุกข์ๆๆ ใช่ไหม เราไม่เห็นกิริยา ไม่เห็นตัวจริงเลย แต่เวลาทำสมาธิๆ มันจะเข้าไปตรงนี้ เข้าไปที่ตัวของมัน พอเข้าไปตัวของมัน เพราะเราเทียบได้เอง ไอ้ที่ว่างๆ ว่างๆ มันก็ เออ! เราก็เคยว่างๆ มาเหมือนกันเนาะ ว่างๆ เราก็ตรึกในธรรมมันก็ว่างเหมือนกัน ด้วยเหตุด้วยผลไง กิเลสมันกลัวอย่างเดียวคือกลัวธรรมะ แล้วธรรมะมันคืออะไร ธรรมะคือสัจธรรม ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราตรึกตรงนั้นๆ นั่นน่ะธรรม

กิเลสมันกลัวธรรมๆ แต่กลัวธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้กลัวธรรมของเรานะ มันอยู่กับใจนี่แหละ แต่ใจยังไม่ได้ทำอะไรมันเลย แต่มันกลัวธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเราเป็นสาวกสาวกะ เราเป็นผู้ที่ได้ยินได้ฟัง เราตรึกในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันยังกลัวขนาดนั้นจนอารมณ์มันว่าง

อารมณ์ไม่ใช่ตัวเรา พุทโธๆ ก็เป็นอารมณ์ เรากำหนดพุทโธจนพุทโธไม่ได้ พุทโธไม่ได้คือตัวมันเป็น เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันหยุด หยุดก็ตัวมันเป็น นี่ไง แค่ทำสมาธิได้มันก็มหัศจรรย์แล้ว พอมหัศจรรย์ขึ้นมา แต่ที่ทำๆ กันอยู่นี้มันไม่ใช่สมาธิ ถ้ามันเป็นมันก็เป็นตกภวังค์ มันเป็นมิจฉาไปเสีย

การทำสมาธิแล้วมันยังมีมิจฉา มีสัมมา เริ่มต้นแม้แต่ต้นทางที่เราจะออกตัวกัน เราจะเริ่มจุดสตาร์ตทำสมาธิ มันยังมีมิจฉา มีสัมมา มีร้อยแปดพันเก้า ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นอจินไตยอีกแล้ว อจินไตยคือเรื่องฌาน เรื่องความว่าง อจินไตย เรื่องกรรม

กรรมนะ เพราะคนมันเกิดมามันทำกันมาเยอะไง ดูเสือสิ มันล่ามา ชีวิตมันล่าสัตว์ไปเท่าไร ในพระไตรปิฎกนะ เวลาเกิดมาที่ว่าเป็นลูกไก่กับยักษ์ที่กินกันอยู่นั่นน่ะ มันผลัดกันมาอย่างนี้ แล้วมันผลัดกัน แล้วไม่รู้ว่าชาติไหน แล้วมันเป็นความจำเป็นไหม เขาบอกเลย บอกว่าศีล ๕ ห้ามฆ่าสัตว์ แล้วถ้าเกิดมันเป็นเสือ มันจะถือศีล ๕ อย่างไร

แต่มันต้องย้อนกลับไปว่า ทำไมมันเกิดเป็นเสือล่ะ เพราะถ้ามันเกิดเป็นเสือ มันเป็นสัตว์กินเนื้อ ทำไมมันไม่เกิดเป็นควายล่ะ ถ้ามันเกิดเป็นควาย มันได้กินหญ้าไง นี่เวลาเราคิด เรามาคิดกันตอนนี้ เราเรียกร้องเอาไง

กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เราทำกันมาแล้ว มันให้ผลแล้ว พอให้ผลแล้ว เราจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ มันก็เป็นผลอันนั้น แต่ยอมรับหรือไม่ยอมรับ เราเกิดเป็นมนุษย์ เรามีสติปัญญาของเรา เราแยกแยะของเราขึ้นมา ปัญญามันจะเกิดเป็นชั้นๆๆ ขึ้นไปนะ ปัญญาตั้งแต่พื้นๆ พื้นๆ ขวนขวายกัน ขวนขวายกันทำเพื่อประโยชน์กับตน เป็นผู้ให้ เป็นผู้ให้ มีเจตนาเป็นผู้ให้ เรายังมีโอกาสเป็นผู้ให้นะ

ภิกษุ ภิกษุเห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านดำรงชีวิตของท่านได้ ท่านดำรงชีวิตของท่านได้อยู่แล้ว แล้วเรามาเสียสละทานของเรา ฟังธรรมๆ เพื่อสะกิดหัวใจของเราไง ให้เห็นว่าหัวใจนี้มีคุณค่าที่สุด

บ้านเราจะสร้างมาราคามากน้อยขนาดไหนมันก็อยู่ที่บ้านนะ ตอนนี้เรานั่งอยู่ที่นี่ หัวใจเรามีคุณค่ามากกว่ามันเยอะเลย เราเป็นคนสร้างมา แต่ใจห่วงบ้านนะ นู่นก็ยังไม่ได้ดู นี่ก็ยังไม่ได้ดู มันมีค่าไหม ถ้าเราตายเดี๋ยวนี้นะ บ้านก็ตั้งอยู่นั่นน่ะ ของใครก็ไม่รู้ แต่ใจที่มีค่าๆ ไปไหนไม่รู้เลยนะ ใจที่มีค่าๆ มันมีบุญกุศลเป็นที่พึ่งอาศัยนะ มีบุญมีบาปอกุศลเป็นที่พึ่ง เราตั้งสติที่นี่

ถ้าเราอยู่บ้าน เราก็ดูแลรักษาของเรา สมบัติของเรา นี่ด้วยอำนาจวาสนาบารมีของเรา ด้วยน้ำพักน้ำแรงที่เราสร้างมา มันเป็นสัมมาทิฏฐิความถูกต้องดีงาม เป็นสมบัติของเราจริงๆ แต่คุณค่าๆๆ เราเอาคุณค่า คุณค่ามันที่หัวใจ คุณค่ามันอยู่ที่เจ้าของบ้าน ไม่ใช่ตัวบ้าน เพราะเจ้าของบ้านเป็นคนสร้างมันขึ้นมา แต่เราไปติดที่บ้าน เราไม่ได้เห็นคุณค่าของหัวใจเรา นี่ขนาดมุมมองแค่นี้เอง เรายังไม่รู้เท่าทันอะไรมีค่าไม่มีค่าเลย

สิ่งที่มีค่าๆ คือใจของเรานะ สิ่งที่เราแสวงหามา สมบัติเราทั้งนั้นน่ะ แต่มันเป็นสมบัติของเราเพราะเราทำมา เราเป็นคนขวนขวายหามันมา ขวนขวายหามันมาแล้วให้มันมีค่ามากกว่าหัวใจของเราได้อย่างไร

เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติอย่างนั้นนะ ท่านจะเห็นตามความจริงอย่างนั้น ถ้าเห็นตามความจริงอย่างนั้น ทำความสงบของใจเข้ามา ใจสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญาของมัน ปัญญาของมันจะแยกแยะของมัน สักกายทิฏฐิ สักกายทิฏฐิ ทิฏฐิความเห็นผิดในกายนี้ ทิฏฐิความเห็นผิดในหัวใจของเรา ว่างนอก ไม่ว่างใน ทิฏฐิความเห็นผิดในตัวของมันเอง แล้วเวลาตัวของมันเอง มันทำลายตัวมันเองจนหมดทิฏฐิมานะ หมดทุกๆ อย่างมันจะเห็นหมดเลย เห็นจริงๆ พอเห็นขึ้นมาจริงๆ เห็นที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสวงหา ไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ดับบัดนี้ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แล้วมันเป็นอย่างไรล่ะ

มันเป็นอย่างไรต่อเมื่อรู้จริง เป็นอย่างไรต่อเมื่อปฏิบัติให้เห็นจริงขึ้นมา ถ้าเห็นจริงขึ้นมา เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ แล้วพอความจริงที่พิสูจน์ได้แล้ว ขอให้ปฏิบัติเถอะ เราจะไปไล่ต้อนอาจารย์เลย หลวงตาท่านพูดประจำ ถามเราให้จนสักทีเถอะวะ ถามหลวงตาให้จนสักที

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราปฏิบัติได้สูงกว่า เราจะไป “โกหกๆๆ” หลวงตาท่านพูดนะ ถ้ามันผิดพลาดนะ ท่านจะพาไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ไปฟ้องพระพุทธเจ้าว่าพวกเราโกหกกัน นี่ไง มันพิสูจน์ตรงนี้ มันพิสูจน์ที่เราทำความจริงขึ้นมา ถ้าความจริงขึ้นมา มันเป็นหัวใจของมันขึ้นมา ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไง

สิ่งที่เสียสละ เราแสวงหามาทั้งนั้นน่ะ สมบัติเราทั้งนั้นน่ะ แต่เราเป็นคนให้ แล้วเราเป็นคนได้ แล้วปฏิบัติมา ธรรมะของเรา หัวใจของเรา สรรพสิ่งเป็นของเรา เอวัง